เผยผลวิจัยกระแสคนรักสุขภาพ สินค้าชาเขียวกับสไปรูลิน่ามาแรง
ดร.ระวีวรรณ ประกอบผล นายกสมาคมวัจัยการตลาดแห่งประเทศไทย เปิดเผยผลการวิจัยพฤติกรรมผู้บริโภคในงานสัมมนาพิเศษ จับกระแสคนรักสุขภาพ ที่จัดขึ้นโดยสมาคมวิจัยการตลาดแห่งประเทศไทยร่วมกับ บริษัทวิจัยด้านการตลาดชั้นนำ 7 บริษัท วานนี้ (10 ก.ย.) ว่า การวิจัยครั้งนี้เป็นการสนทนากับกลุ่มผู้บริโภคชายหญิง โดยสุ่มตัวอย่างจากกลุ่มเป้าหมาย 8 กลุ่มอายุ ดังนี้
กลุ่มเด็ก 8-12 ปี , กลุ่มวัยรุ่นตอนต้น 13-17 ปี , กลุ่มวัยรุ่นนักศึกษา 18-22 ปี , กลุ่มวัยทำงานตอนต้น , กลุ่มโสดหรือแต่งงานแล้วแต่ยังไม่มีลูก , กลุ่มที่แต่งงานแล้วมีลูกอายุน้อยกว่า 12 ปี , กลุ่มแต่งงานแล้วมีลูกอายุมากกว่า 12 ปี และกลุ่มผู้สูงอายุ 55 ปีขึ้น
โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาความต้องการของผู้บริโภคในปัจจุบัน และเป็นข้อมูลที่ดีให้นักการตลาดรุ่นใหม่นำไปปรับใช้กับธุรกิจและสินค้าต่างๆ
โดยจากการสำรวจทำให้มองเห็นความคิดความเชื่อ ทัศนคติเกี่ยวกับสุขภาพ พฤติกรรมการกินอยู่ การออกกำลังกาย การใช้ผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพของผู้บริโภคได้อย่างชัดเจน ซึ่งในช่วง 3-5 ปีที่ผ่านมา กระแสรักสุขภาพมีมากขึ้น ในกลุ่มผู้บริโภคคนไทย และให้ความสนใจต่อสุขภาพมากขึ้น เชื่อแนวโน้มรักสุขภาพก็จะยังคงมีอย่างต่อเนื่อง และจากการวิจัยความคิดเห็นของผู้บริโภคมานั้น
กระแสที่กำลังมาแรงและมีแนวโน้มจะเติบโตต่อไป คือ ชาเขียวและสาหร่ายสไปรูลิน่า
ดร.ศิศิวิมล มิตติพัฒน์ รองประธานผู้จัดการ บริษัท เอคอร์น มาร์เก็ตติ้ง แอนด์ รีเสิร์ช แอนด์ คอนซัลแทนส์ จำกัด กล่าวว่า สิ่งที่น่าสนใจจากการสำรวจในครั้งนี้ พบว่าผู้บริโภคไม่ใช่เฉพาะวัยสูงอายุอีกต่อไปที่จะสนใจสุขภาพ แต่กลุ่มที่น่าจับตามองและหันมาให้ความสำคัญกับเรื่องสุขภาพมากขึ้น คือ กลุ่มเด็กวัยมัธยมตอนต้น อายุ 13 ไปจนถึงกลุ่มอายุ 27 ปี ซึ่งเป็นกลุ่มที่มีความเปลี่ยนแปลงอย่างชัดเจนมากที่สุด
ขณะที่ในอดีตผู้ที่สนใจสุขภาพอาหารผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพจะเป็นผู้สูงอายุ แต่ปัจจุบันกลุ่มนี้เริ่มหันมาเอาจริงเอาจังกับการดูแลตัวเองเพื่อความสวยงาม สดใส โดยมีดาราเป็นผู้นำทางความคิดในการรักสุขภาพ ทำให้ผู้บริโภคต้องการเป็นเหมือนดารา นักร้อง นักกีฬาที่ตัวเองชื่อชอบ
กลุ่มนี้จะพยายามประยุกต์สมุนไพรกับเทคโนโลยี แล้วนำมาใช้ในชีวิตประจำวัน เริ่มจะค้นหาสินค้าที่คิดว่าเพื่อสุขภาพ อาทิ เครื่องดื่มประเภทนม ผักผลไม้ น้ำส้ม ชาเขียว อาหารมังสวิรัติ นอกจากนี้ความต้องการให้กลุ่มเพื่อนฝูงยอมรับก็เป็นอีกหนึ่งเหตุผลที่ทำให้กระแสรักสุขภาพมาแรง
โดยกลุ่มอายุ 8-12 ปี จะให้ความสำคัญกับสินค้าประเภทขนบขบเคี้ยว เน้นที่รสชาติ ได้ความสนุกสนาน , กลุ่ม 13-17 ปี เน้นสินค้าที่ทำให้สูง สวย หุ่นดี , กลุ่ม 18-22 ปี เน้นสินค้าแฟชั่น นำสมัย , กลุ่ม 23-27 ปี เน้นสินค้าที่รวดเร็ว สะดวกสบาย ทำให้รู้สึกดี , กลุ่ม 28-32 ปี เน้นสินค้าสุขภาพที่มีข้อมูลชัดเจน , กลุ่ม 33-45 ปี เน้นผลิตภัณฑ์สำหรับครอบครัวเป็นหลัก , กลุ่ม 46-55 ปี ให้ความสำคัญกับยาบำรุง และกลุ่มผู้สูงอายุ จะสนใจอาหารเสริม เพื่อช่วยให้ร่างกายแข็งแรงอยู่ได้นาน
นางสาวธาริณี นามศิริชัย กรรมการบริหาร บริษัท มาร์เก็ตไว้ส์ จำกัด กล่าวถึงทิศทางของอาหารและเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพว่า จากการสำรวจพบว่าผู้บริโภคยุคนี้ส่วนใหญ่จะให้ความสำคัญกับอาหารที่เป็นผักและผลไม้มากที่สุด ส่วนเครื่องดื่มให้ความสำคัญกับน้ำส้ม นมที่มีแคลเซียมสูง และสำหรับกลุ่มเด็กนมช็อกโกแลตอย่าง โอวัลติน ไมโล จะได้รับความนิยมสูงที่สุด ซึ่งพวกเขามองว่า น้ำเต้าหู้และชาเขียวเป็นเครื่องดื่มที่ไม่สำคัญมากนัก
นอกจากนี้ยังมองว่าอาหารไทย เป็นอาหารเพื่อสุขภาพมากกว่าอาหารประเภทอื่นๆ เนื่องจากมีส่วนผสมของสมุนไพรมากนั่นเอง
ร้านอาหารไทยมาแรง สำหรับร้านอาหารเพื่อสุขภาพ ในความรู้สึกของผู้บริโภคที่มาแรงเป็นอันดับหนึ่งอย่างไม่น่าเชื่อ
คือ ร้านอาหารไทย รองลงมาเป็นอาหารจีน อาหารญี่ปุ่น อาหารเวียดนาม และยุคนี้อาหารที่ถูกมองว่ามีคุณค่าทางโภชนาการน้อยที่สุด คือ
ร้านอาหารฝรั่งหรือ Junk Food เนื่องจากมีเมนูที่เป็นเนื้อสัตว์มาก
ทำให้ความนิยมเริ่มลดน้อยลง แต่ยังคงเป็นที่นิยมในกลุ่มวัยเด็ก ส่วนกลุ่มอื่นๆ จะเริ่มให้ความสำคัญกับร้านเพื่อสุขภาพและมองว่า
ร้านดอยคำและเอ็มเคสุกี้มีคุณสมบัติดังกล่าว
อายุกลุ่มที่ต้องการสื่อสารลดลง
นางสาววิริยา วรกิตติคุณ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ซี เอส เอ็น แอนด์ แอสโซซิเอท จำกัด กล่าวว่า ผู้บริโภคทุกเพศทุกวัย ยกเว้นวัยเด็ก จะเริ่มให้ความสนใจเรื่องของสุขภาพมากขึ้น พยายามหาวิธีดูแลสุขภาพของตัวเอง หาอาหารเสริมหรือสิ่งที่มีประโยชน์ให้กับตัวเอง ซึ่งถือเป็นช่องว่างที่จะให้นักการตลาดเข้าไปเติมเต็มความต้องการ โดยในวัยเด็กยังคงเน้นทำตลาดกับพ่อแม่เป็นหลัก ด้วยการชี้ให้เห็นสิ่งที่ดีของผลิตภัณฑ์ที่จะมีต่อลูก
ส่วนวัยที่เริ่มดูแลตัวเองและตัดสินใจเลือกซื้อสินค้าได้ด้วยตัวเองพบว่ามีอายุลดลง คือตั้งแต่ 13 ปีขึ้นไป ก็สามารถตัดสินใจเลือกซื้อสินค้าได้แล้ว ทำให้นักการตลาดต้องเจาะเข้าหาผู้บริโภคกลุ่มนี้โดยตรง ซึ่งต่างจากสมัยก่อนที่ยังตงต้องพึ่งพ่อแม่ในการตัดสินเลือกซื้อสินค้า
โดย ผู้จัดการรายวัน
